ค่ำคืนแห่งฟุตบอลยุโรปกำลังหวนกลับมาอีกครั้ง และในครั้งนี้ อาร์เซน่อล ภายใต้การคุมทีมของ มิเกล อาร์เตต้า เตรียมเผชิญหน้ากับทีมแกร่งจากกรีซอย่าง โอลิมเปียกอส ในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบลีก เฟส ที่เอมิเรตส์ สเตเดียม เกมนี้ไม่เพียงแต่เป็นการชิงสามแต้มสำคัญในกลุ่มเท่านั้น แต่ยังเป็นอีกหนึ่งบททดสอบของ “เดอะ กันเนอร์ส” ที่กำลังพยายามพิสูจน์ตัวเองในเวทียุโรป หลังจากห่างหายจากความสำเร็จรายการนี้มานานหลายปี
ก่อนเกมสำคัญจะเริ่มขึ้น อาร์เตต้าออกมาให้สัมภาษณ์ด้วยความมั่นใจและแฝงไปด้วยพลังของผู้นำ เขากล่าวว่า “เกมกับโอลิมเปียกอสจะเป็นเกมที่เข้มข้นแน่นอน พวกเขาเป็นทีมที่มีประสบการณ์ในฟุตบอลยุโรปมาก แต่เราพร้อมแล้วที่จะเผชิญหน้า และผมอยากให้แฟน ๆ ที่เอมิเรตส์รู้ว่าเราจะสู้เต็มร้อยเพื่อพวกเขา” คำพูดของเขาเต็มไปด้วยแรงกระตุ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่แฟนบอลอาร์เซน่อลคุ้นเคยดีจากกุนซือรายนี้
อาร์เตต้าเป็นคนที่ให้ความสำคัญกับทุกเกมในทุกรายการเสมอ โดยเฉพาะในเวทีแชมเปี้ยนส์ ลีก ที่เขาเชื่อว่าเป็นสนามที่วัดคุณภาพของทีมระดับทวีป “ถ้าอยากเป็นทีมใหญ่จริง ๆ คุณต้องแสดงให้เห็นในเวทียุโรป นี่คือระดับที่เราต้องไปให้ถึง” เขากล่าวอย่างหนักแน่น “ทุกนาทีในรายการนี้คือบททดสอบของความเป็นทีม และผมเชื่อว่าเรากำลังเติบโตไปในทิศทางที่ถูกต้อง”
บรรยากาศในแคมป์ของอาร์เซน่อลก่อนเกมเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น นักเตะทุกคนต่างซ้อมอย่างเข้มข้นที่ลอนดอน โคลนีย์ ศูนย์ฝึกของสโมสร โดยมีอาร์เตต้าเดินตรวจการซ้อมด้วยสายตาเฉียบคม เขาเน้นย้ำเรื่องแท็กติกและการเคลื่อนที่โดยเฉพาะการเล่นเกมรุกเร็ว ซึ่งเป็นจุดแข็งของทีมในฤดูกาลนี้ เขาต้องการให้ลูกทีมสามารถกดดันแนวรับของโอลิมเปียกอสได้ตั้งแต่นาทีแรก
“เรารู้ว่าโอลิมเปียกอสเป็นทีมที่ไม่ยอมง่าย ๆ พวกเขามีความแข็งแกร่งทั้งร่างกายและจิตใจ แต่สิ่งที่เราต้องทำคือเล่นในแบบของเรา ควบคุมเกม และรักษาความเยือกเย็นในจังหวะสำคัญ” อาร์เตต้าอธิบายในการแถลงข่าวก่อนเกม เขายังกล่าวถึงความสำคัญของการใช้โอกาสให้คุ้มค่า เพราะในการแข่งขันระดับนี้ ความผิดพลาดเพียงเล็กน้อยอาจหมายถึงความพ่ายแพ้ได้ทันที
อาร์เซน่อลในยุคของอาร์เตต้ามีเอกลักษณ์ที่ชัดเจน พวกเขาเป็นทีมที่เน้นการครองบอล สร้างเกมจากแดนหลัง และใช้จังหวะเข้าทำที่รวดเร็วและเฉียบขาด การเคลื่อนที่ของผู้เล่นอย่างมาร์ติน โอเดการ์ด, บูกาโย่ ซาก้า และกาเบรียล เชซุส ทำให้แนวรุกของทีมมีความหลากหลายและยากต่อการคาดเดา ขณะเดียวกัน ระบบเกมรับที่มีวิลเลี่ยม ซาลิบา และกาเบรียล มากัลเญส ก็แข็งแกร่งและมั่นคงมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
“เรามีทีมที่สมดุลมากในตอนนี้” อาร์เตต้ากล่าว “ทุกคนเข้าใจในบทบาทของตัวเอง และสิ่งที่ผมภูมิใจคือความสามัคคีในทีม ทุกคนช่วยกันเล่น ช่วยกันป้องกัน และนั่นคือสิ่งที่ทำให้เราเป็นทีมที่ยากจะเอาชนะ”

เกมกับโอลิมเปียกอสถือเป็นแมตช์ที่มีความหมายทางอารมณ์สำหรับแฟนบอลอาร์เซน่อลเช่นกัน เพราะในอดีต ทีมจากกรีซเคยสร้างบาดแผลให้กับพวกเขาในยูโรป้าลีกหลายครั้ง โดยเฉพาะในฤดูกาล 2019/20 ที่โอลิมเปียกอสบุกมาชนะอาร์เซน่อลถึงถิ่นและเขี่ยตกรอบอย่างเจ็บปวด ดังนั้น การพบกันครั้งนี้จึงเป็นเหมือนการ “ล้างแค้น” ในเชิงสัญลักษณ์ของลูกทีมอาร์เตต้า
เมื่อถูกถามถึงเรื่องนี้ เขาตอบอย่างมีสติว่า “ผมจำเกมนั้นได้ดี แต่ฟุตบอลคือเรื่องของปัจจุบัน ไม่ใช่อดีต เรามีทีมที่แตกต่างออกไป และผมมั่นใจว่าเราจะไม่ทำผิดซ้ำรอยเดิม สิ่งสำคัญคือการมุ่งไปข้างหน้าและเล่นในสไตล์ของเรา” คำตอบนี้สะท้อนถึงแนวคิดแบบมืออาชีพของอาร์เตต้า ซึ่งมักมองเกมอย่างเป็นระบบและไม่ปล่อยให้อารมณ์ครอบงำ
ในแง่แท็กติก เกมนี้อาร์เซน่อลน่าจะใช้แผน 4-3-3 ตามถนัด โดยมีโอเดการ์ดคุมเกมตรงกลาง และให้ซาก้ากับมาร์ติเนลลี่คอยสร้างความอันตรายทางริมเส้น ด้านโอลิมเปียกอสเองก็น่าจะมาเน้นตั้งรับลึกและรอโต้กลับ ซึ่งอาร์เตต้าระบุว่า “เราต้องอดทนและไม่ประมาท เพราะพวกเขาเล่นเกมรับได้ดีมาก และสามารถทำประตูจากจังหวะสวนกลับได้ทุกเมื่อ”
ผู้เชี่ยวชาญจาก ufabet เว็บตรงทางเข้า เล่นได้ทุกที่ วิเคราะห์ว่า การเผชิญหน้าครั้งนี้จะเป็นบทพิสูจน์สำคัญของอาร์เซน่อลในฐานะทีมชั้นนำของยุโรป เพราะในฤดูกาลก่อน แม้จะทำผลงานได้ดีในพรีเมียร์ลีก แต่ยังมีข้อสงสัยเรื่องประสบการณ์ในเวทีแชมเปี้ยนส์ ลีก ซึ่งอาร์เตต้ากำลังพยายามแก้ไขจุดนั้นด้วยการปลูกฝัง “จิตใจของผู้ชนะ” ให้กับนักเตะ
อีกหนึ่งสิ่งที่โดดเด่นของอาร์เตต้าคือการจัดการจิตวิทยาของทีม เขามักพูดกับลูกทีมเสมอก่อนเกมใหญ่ ๆ ว่า “อย่ากลัวที่จะยิ่งใหญ่” ซึ่งเป็นคำที่สะท้อนแนวคิดของเขาได้ดีที่สุด เขาเชื่อว่าฟุตบอลไม่ใช่เพียงเรื่องของแท็กติก แต่เป็นเรื่องของความเชื่อมั่นในตัวเอง “คุณสามารถมีระบบที่ดีที่สุดในโลกได้ แต่ถ้าคุณไม่เชื่อว่าตัวเองจะชนะ คุณก็ไม่มีวันชนะ” เขากล่าวอย่างหนักแน่น
อาร์เซน่อลในยุคนี้จึงไม่ใช่แค่ทีมที่เล่นสวยงามเหมือนในอดีต แต่เป็นทีมที่เล่นด้วยความมุ่งมั่นและความดุดันมากขึ้น ภายใต้การนำของอาร์เตต้า พวกเขาเริ่มมีบุคลิกแบบ “ผู้ล่า” มากกว่าผู้ถูกล่า ซึ่งแตกต่างจากทีมในยุคก่อนที่มักจะขาดความนิ่งในเกมใหญ่
ในเกมลีกที่ผ่านมา อาร์เซน่อลเพิ่งคว้าชัยชนะเหนือคู่แข่งสำคัญด้วยฟอร์มที่ยอดเยี่ยม ทำให้บรรยากาศในทีมเต็มไปด้วยความมั่นใจ แฟนบอลกว่า 60,000 คนในเอมิเรตส์ สเตเดียมกำลังรอคอยค่ำคืนแห่งยุโรปด้วยหัวใจเต้นแรง พวกเขาหวังว่าจะได้เห็นทีมรักโชว์ฟอร์มสมกับการรอคอยในรายการนี้
อาร์เตต้ายังพูดถึงแรงสนับสนุนจากแฟนบอลว่า “ผมรู้ดีว่าเกมในบ้านของเราไม่เหมือนที่อื่น แฟนบอลคือพลังของเรา เมื่อเอมิเรตส์เต็มไปด้วยเสียงเชียร์ มันจะเป็นบรรยากาศที่ยากสำหรับคู่แข่งมาก ผมอยากให้พวกเขาเชื่อว่าเราจะสู้เพื่อพวกเขา” คำพูดของเขาได้รับเสียงปรบมือจากแฟน ๆ ที่เข้าร่วมงานแถลงข่าวอย่างอบอุ่น
ผู้เชี่ยวชาญจาก คาสิโน ufabet เว็บตรง ครบทุกเกมเดิมพัน วิเคราะห์เพิ่มเติมว่า เกมนี้น่าจะเป็นอีกหนึ่งจุดเปลี่ยนของอาร์เซน่อลในแชมเปี้ยนส์ ลีก เพราะหากพวกเขาสามารถเก็บชัยชนะได้ จะไม่เพียงสร้างความมั่นใจ แต่ยังส่งสัญญาณไปถึงคู่แข่งในกลุ่มว่าทีมของอาร์เตต้าพร้อมแล้วสำหรับการลุ้นเข้ารอบในฐานะผู้นำกลุ่ม ซึ่งจะมีผลอย่างมากต่อการวางแผนในระยะยาวของทีม
ในแง่ของความรู้สึกส่วนตัว อาร์เตต้ามักพูดเสมอว่าแชมเปี้ยนส์ ลีกคือเวทีที่พิเศษสำหรับเขา “ผมเคยมีโอกาสเล่นรายการนี้ตอนเป็นนักเตะ แต่ในฐานะโค้ชมันต่างออกไปมาก มันคือความท้าทายที่ยิ่งใหญ่กว่า เพราะคุณต้องทำให้ทั้งทีมพร้อมในทุกด้าน ทั้งร่างกาย จิตใจ และแท็กติก” เขากล่าวด้วยแววตาเปี่ยมพลัง
และเมื่อถูกถามว่าเขามีความฝันจะพาอาร์เซน่อลคว้าแชมป์ยุโรปหรือไม่ เขายิ้มเล็กน้อยก่อนตอบว่า “แน่นอนครับ นั่นคือเหตุผลที่ผมอยู่ที่นี่ ผมไม่ทำงานนี้เพื่ออยู่ตรงกลางตาราง ผมทำเพื่อให้สโมสรนี้กลับไปอยู่ในจุดที่ควรอยู่ — จุดสูงสุดของยุโรป”
คำพูดนั้นไม่เพียงสะท้อนถึงความทะเยอทะยานของเขา แต่ยังจุดไฟให้กับแฟนบอลที่เฝ้าฝันเห็นอาร์เซน่อลกลับมาผงาดในเวทีที่พวกเขาคู่ควรอีกครั้ง หลังจากที่เคยใกล้เคียงในปี 2006 แต่พลาดท่าพ่ายบาร์เซโลนาในนัดชิงชนะเลิศ
ค่ำคืนที่เอมิเรตส์กำลังจะมาถึง และสำหรับอาร์เตต้า มันคือมากกว่าเกมฟุตบอลธรรมดา นี่คือเวทีพิสูจน์ว่าอาร์เซน่อลในยุคของเขามีความแข็งแกร่งพอที่จะยืนเคียงข้างทีมใหญ่ของยุโรปได้อย่างสง่างาม แฟนบอลทั่วโลกต่างรอคอยว่าจะได้เห็น “เดอะ กันเนอร์ส” ที่เต็มไปด้วยพลัง ความกล้า และความเชื่อ เหมือนที่โค้ชชาวสเปนคนนี้พยายามปลูกฝังมาตลอด